เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ พ.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


 

เรามาทำบุญกุศลกัน เรามาทำบุญกุศล เห็นไหม เพราะเราเป็นคนฉลาด เพราะบุญกุศลนี้เป็นนามธรรม เราว่าบุญคืออะไร เวลาบาปอกุศลนี่จำได้ เพราะบาปมันทุกข์ร้อน มันบีบคั้นหัวใจ เวลาบุญกุศล ว่าบุญกุศลมันคืออะไร บุญกุศลคือเรานั่งอยู่ตัวเป็นๆ นี่แหละ เพราะบุญกุศลทำให้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติไง

ถ้าไม่มีมนุษย์สมบัตินะ จิตนี่ วิทยาศาสตร์จะพิสูจน์อย่างไรก็เรื่องของเขา จิตนี่นะมันไม่มีวันเว้นวรรค ความรู้สึกของเรามันขาดช่วงไม่ได้ ความรู้สึกอันนี้มันจะเวียนตายเวียนเกิด ความรู้สึกอันนี้มันมีตลอดเวลา แล้วความรู้สึกมันจะเคลื่อนไป แต่เพราะเรามีบุญกุศลไง เราถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์นะถึงบอกว่าบุญกุศลเป็นอย่างไร

เกิดเป็นมนุษย์แล้วมันมีสุข มีทุกข์ มีสิ่งให้แสวงหา สิ่งที่แสวงหาคือแสวงหาความรับรู้สึก รับรู้ว่าทุกข์ สุขมันเป็นแบบใด แล้วถ้าเราเข้าใจทุกข์สุขแล้ว เราจะวางมันตามความเป็นจริง แล้วจิตใจนี้มันจะพ้นไปจากทุกข์ ถ้าพ้นไปจากทุกข์เพราะเหตุใด พ้นไปจากทุกข์เพราะมันมีปัญญาของมัน

ดูสิ เวลามนุษย์คิดได้นี่ประชาธิปไตยๆ สิ่งที่เป็นประชาธิปไตยต้องเคารพความเป็นมนุษย์ สิทธิความเป็นมนุษย์ นี่รัฐธรรมนูญเขียนไว้เลยนะ เราต้องเคารพสิทธิความเป็นมนุษย์ของแต่ละบุคคล เวลาประชาธิปไตย เราต้องเคารพเสียงข้างน้อย เสียงข้างน้อยเขาก็เป็นมนุษย์ เขาจะคิดแตกต่างกับเราก็แล้วแต่ แต่เขาก็เป็นมนุษย์ เราต้องเคารพความเป็นมนุษย์ของเขา แต่เวลาเป็นธรรมล่ะ ธรรมาธิปไตยล่ะ?

นี่ถ้าคนหยาบ เห็นไหม เวลาเสียงข้างมาก.. เสียงข้างมากคือความคิดที่ผิดพลาด ความคิดที่ไม่ถูกต้อง เสียงข้างมากมันก็ลากไป เสียงข้างมากลากไป เสียงข้างน้อยดึงอย่างไรไว้ก็ไม่ได้ แต่เวลาถ้าประชาชน นี่เสียงข้างมากเป็นเสียงที่ถูกต้องดีงาม แต่เสียงข้างน้อยล่ะ.. เวลากิเลสมันหนา มันเป็นเสียงข้างมาก มันเหยียบย่ำหัวใจของเรา เวลากิเลสมันหนา เวลากิเลสมันบาง มันก็เป็นเสียงข้างน้อย เสียงข้างน้อยมันก็ซุกอยู่ในใจเรานั่นแหละ

แต่ถ้าธรรมาธิปไตย เราต้องทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบได้ มันจะมีสติปัญญาของมัน มันจะควบคุมได้ เสียงนั้นเป็นเอกภาพนะ เป็นฉันทามติ มันไม่มีผู้คัดค้านเลย ถ้ามีผู้คัดค้านอยู่นะ นี่เดี๋ยวว่างๆ เดี๋ยวไม่ว่าง มันมีคัดค้านอยู่ในหัวใจตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นฉันทามติมันจะรวมลง ถ้ามันรวมลงแล้ว เราจะลงมติว่าอะไรกัน ถ้ารวมลงแล้วมันจะมีปัญญาของมัน นี่ถ้าเป็นธรรมาธิปไตย

ฉะนั้นธรรมาธิปไตย เห็นไหม ดูสิ ประชาธิปไตย เวลาเขาจะได้เสียงๆ หนึ่งนะ เขาต้องยกมือไหว้ไปทั่วเลยนะ ทั่วเขตของเขาเพื่อให้ลงคะแนนเสียงให้เขา เขาก็แสวงหา ของเรานี่เวลาเราจะหาเสียงของเรา เราจะหาความถูกต้องดีงามของเรา เราต้องตั้งสติของเรา เราต้องควบคุมในหัวใจของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราแยกแยะสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก เวลาเขาเลือกตั้งขึ้นมา เขาบอกให้เลือกคนดี เลือกคนดีนะ เราต้องใช้ปัญญาของเราเลือกคนดี แต่คนดีนี่ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครดีหรือไม่ดีล่ะ?

กาลเวลามันเปลี่ยนแปลงทุกคนนะ จิตใจของคนมันเปลี่ยนแปลงได้ สัญญาอารมณ์มันเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมดล่ะ แต่เวลาความรู้สึกของเรา เห็นไหม เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวว่าดี เดี๋ยวว่าร้าย มันเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน ถ้าเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน นี่ปัญญาของเรา ประสบการณ์ของเรา เวลาเรามีประสบการณ์อย่างนี้ เราคิดว่าถูกต้องดีงามอย่างนี้ เวลามันเสื่อมไปต่อหน้าต่อตา อันนี้ก็ไม่ใช่ อันนี้ก็ไม่ใช่

นี่ปัญญามันจะเกิดไง ปัญญามันเกิด เห็นไหม เวลาเราประกอบวิชาชีพ เราก็ต้องใช้ปัญญาของเรา เราประกอบวิชาชีพนะ คนซื่อบื้อไปประกอบวิชาชีพมันจะเสียหายไปหมดเลย แต่คนต้องมีความฉลาด ต้องมีไหวพริบปัญญาของเขา เขาจะประกอบสัมมาอาชีวะของเขา เพื่อประโยชน์ของเขา

สติปัญญาของเรา เราจะชนะตัวเราเอง แล้วกิเลสมันเป็นเรา สรรพสิ่งมันเป็นเรา อะไรเป็นเราไปหมดเลย นั่งภาวนาก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ มันจะทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย มันจะทำให้เราทุกข์ร้อนไปหมดเลย ทั้งๆ ที่คือความดีนะ เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย ไปหาหมอ หมอเขาก็ฉีดยาเรา เขารักษาเรา เขาทำความเจ็บนะ ฉีดยาก็เจ็บ ผ่าตัดก็เจ็บ แต่เขาทำเพื่ออะไรล่ะ เขาทำเพื่อให้เราหายจากโรคภัยไข้เจ็บใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน เราจะฝืนมัน เราจะฝืนหัวใจของเรา ถ้าหัวใจมันเปลี่ยนแปลง เราจะฝืนมัน เราจะฝืนนะ เวลาฝืน นี่ถ้าไหลตามมันไป สบาย ไม่มีความรู้สึกสิ่งใดเลย ถ้าฝืนนะมีการต่อต้านแล้ว มีความเจ็บปวดเจ็บช้ำแล้ว ยิ่งครูบาอาจารย์ของเราอยู่ในป่านะ เวลาเดินจงกรมอยู่ เห็นไหม นักขัตฤกษ์เขาไปเที่ยวเล่นกันนะ เขาขับร้องเพลงไป เขาไปสนุกสนาน เวลาจะไปเหมือนไก่บิน ไก่มันจะบินออกจากเล้า อู้ฮู.. มันบิน อู้ฮู.. มีความสุขมาก

นี่เวลาเขาจะไปเที่ยวสนุกครึกครื้น เขาขับร้องเพลงไป ไอ้เราเดินจงกรมอยู่ นั่งสมาธิอยู่ ได้ฟังเสียงเขานะ โอ้โฮ.. เขามีความสุขนะ โลกเขามีความสุขกัน เขามีความรื่นเริงกัน ไอ้เราเป็นคนทุกข์คนยาก ไอ้เราต้องมาบังคับตนเอง ไอ้เรามาอยู่ป่าอยู่เขา เหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง สัตว์มันยังมีครอบครัวของมัน สัตว์ยังมีความสุขของมัน ไอ้เราเป็นสัตว์นะ สัตว์ที่ไม่มีใครดูแลเลยนะ อู๋ย.. มันน้อยเนื้อต่ำใจนะ

นี่ไง เวลามันคิดของมัน เห็นไหม นี่เวลาว่าปัญญาๆ เวลาเป็นปัญญาของกิเลส อู้ฮู.. มันคิดขึ้นมา มันต่อยอดไปนะ อู้ฮู.. มันคิดไปเตลิดเปิดเปิงเลย

แต่เวลาเป็นปัญญาสิ่งที่ดีนะ อ้าว.. เราจะมีความประหยัดมัธยัสถ์นะ เราจะถือศีลของเรานะ เราจะถือพรหมจรรย์ของเรานะ เราจะทำไม้ดิบๆ ของเรา คือหัวใจของเราที่มันดิบๆ ให้มันแห้ง ตากให้มันแห้งด้วยศีลด้วยธรรม แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา ไม้แห้งเวลามันจุดเชื้อไฟมันก็จะติดได้ ไม้สด ไม้ดิบนี่มันเปียกชื้นของมัน จุดไฟมันก็ไม่ติด

เวลาเราจะคิดเป็นมุมบวกของเรา นี่ปัญญาของเรามันจะเกิด ถ้าปัญญาของเราเกิด สิ่งที่เราเกิดนี่เราเต็มใจ เราพอใจทำนะ

แต่ถ้าปัญญาเราไม่เกิดนะ ให้มีคนบังคับนะ อู๋ย.. มันเกิดการโต้แย้ง นู่นก็ไม่รักเรา นี่ก็ไม่ชอบเรา นู่นก็รังแกเรา นี่ก็กลั่นแกล้งเรา ..ทั้งๆ ที่เขารักเขาห่วงใยเรา เขาจะยกเราให้ขึ้นจากบ่อมูตร บ่อคูถ เราก็มาน้อยเนื้อต่ำใจของเรา เพราะอะไร เพราะปัญญาคนมันไม่เท่ากัน ปัญญาคนมันไม่เท่ากัน ฉะนั้น เราต้องฝึกปัญญาของเรา ฝึกปัญญา เห็นไหม นี่คนนู้นก็ไม่รัก คนนี้ก็ไม่รัก

“ที่ไหนมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” พอรักแล้วไม่สมความปรารถนา มันก็เจ็บช้ำน้ำใจ แต่ความรักของพ่อของแม่อย่างไรมันก็ตัดกันไม่ขาดหรอก พ่อแม่เรา อย่างไรก็เมตตา อย่างไรก็ปรารถนาดีกับลูกทั้งนั้นแหละ

นี่ความรักความผูกพันอย่างนั้น เราก็ต้องเข้มแข็ง เวลาลูกเขาบอกว่า อย่าตีลูกด้วยอารมณ์นะ ตีลูกด้วยเหตุด้วยผล คุยกับมันด้วยเหตุด้วยผล อย่าตีด้วยอารมณ์ เวลาเราปรารถนาดี เราอยากดีกับมัน แต่มันไม่ได้ดั่งใจเราก็มีอารมณ์ ถ้ามีอารมณ์เราเก็บของเราไว้ อารมณ์ความรู้สึกอันนี้ มันเป็นวุฒิภาวะของผู้ใหญ่กับเด็ก เด็กนี่วุฒิภาวะเขาเข้าใจเราไม่ได้หรอก แต่ถ้าเขาโตขึ้นมามันก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ

กงกรรมกงเกวียน เห็นไหม ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครดูแลอุปัฏฐากพ่อแม่ ครอบครัวของเราจะร่มเย็นเป็นสุข เวลาไปสอนลูกให้กตัญญูนะ ลูกมันจะย้อนเอา “แล้วปู่ ย่า ตา ยาย ทำไมพ่อแม่ไม่ดู” ถ้าเราดูแลของเรา ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี เป็นการแสดงออกถึงเครื่องหมายของความเป็นคนดี

ความกตัญญูกตเวที มันเป็นเครื่องหมายของคนดี เห็นไหม นี่เป็นเครื่องหมายของคนดี แล้วคนดีก็ได้กระทำมา แล้วหัวใจของเราล่ะ หัวใจของเรา นี่พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่เราก็อยากเป็นพระอรหันต์ เราอยากเป็นจริงๆ ด้วย เราอยากเป็นจริงๆ นะ เพราะอะไร เพราะการเป็นพระอรหันต์ บรรลุธรรมขึ้นมามันจะสิ้นสุดแห่งทุกข์

ไอ้ว่าความสุข ความทุกข์ในหัวใจของเรา เห็นไหม มันเป็นเวทนา มันเป็นขันธ์ มันเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา แล้ววิมุตติสุขที่ไม่เกี่ยวกับเวทนาเลย ไม่เกี่ยวกับความรู้สึกเลยนี่มันสุขอย่างไร? เอ๊ะ.. ตำรามันก็บอกไว้ ครูบาอาจารย์ท่านก็ว่าไว้ ไอ้เราก็อยากจะพิสูจน์ ไอ้สุขเนื้อๆ สุขที่ไม่อิงอะไรเลย ที่เป็นความสุขวิมุตติสุข มันเป็นแบบใด?

นี่เวลาทุกข์มันรู้ เวลามันพอใจ มันสุขนี้มันก็เป็นสัญญาอารมณ์ สุข เห็นไหม ที่ไหนมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ พอสุขแล้วมันก็ปรารถนา พอรักมันก็กอดมันไว้ แล้วเดี๋ยวมันก็หนีเราไป ความสุขมันจะวิ่งหนีเราไปนะ ความทุกข์มันจะวิ่งมาชนหน้าเรา แต่ความสุขมันหนีไปทุกทีเลย นี่มันเป็นเพราะเหตุใดล่ะ.. ถ้าสิ่งใดสมความปรารถนา มันก็เป็นความสุข สิ่งใดไม่สมความปรารถนา แล้วความปรารถนามันคืออะไรล่ะ? ความปรารถนามันเกิดจากไหนล่ะ?

นี่สิ่งที่มีอยู่นะ พระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีอยู่ทั้งนั้นเลย แต่สิ่งที่มีอยู่นี้เรามองข้ามกันไป เราไปมองแต่วัตถุ มองแต่ข้าวของเงินทองว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มียศถาบรรดาศักดิ์เสื่อมทั้งนั้น แต่เราก็ไปตะครุบมัน ตะครุบมัน อยากยึดมันให้อยู่กับเรา แต่เวลาหัวใจของเรานี่ มันอยู่กับเราแท้ๆ เลย เหยียบย่ำมันไป

พอเราฟังธรรมขึ้นมาเราก็ตั้งสติ หน้าที่การงานก็เป็นหน้าที่การงาน ใครปฏิเสธไม่ได้หรอก คนเกิดมาต้องมีอาหาร คนเกิดมาต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ พระพุทธเจ้า เวลาท่าน.. เห็นไหม พระต้องมีปัจจัย ๔ เพื่อดำรงชีวิต เวลาจะทำวินัยนะ ขึ้นไปบนภูเขา ห่มผ้าชั้นหนึ่งก็ยังมีความหนาวอยู่ ๒ ชั้น ๓ ชั้น เลยบัญญัติวินัย พระเราถือผ้าบังสุกุล จีวรชั้นหนึ่ง สังฆาฏิ ๒ ชั้น เป็น ๓ ชั้น นี่ให้ใช้ได้แค่นี้

ในเมื่อมันมีความจำเป็น ปัจจัยเครื่องอาศัยมีความจำเป็น ก็ให้ได้แค่นี้ นี่บริขาร ๘ บริขาร ๘ ของพระ ไตรจีวร เห็นไหม มีชุดเดียว สิ่งใดมานะเป็นบริขารโจล เป็นของโจล เป็นของอยากได้ แต่พระพุทธเจ้าให้แค่ ๓ ผืน ผ้า ๓ ผืนนี่ถือธุดงควัตร แต่ถ้าใครจะมีผ้าอาศัย เวลาพินทุ อธิษฐาน “ภิกษุใช้ผ้ายืมมา ขอเขายืมมาใช้เป็นอาบัติปาจิตตีย์หมด”

ภิกษุต้องได้ผ้าของภิกษุนั้นมาเอง จะเป็นคฤหบดีจีวร จะเป็นบังสุกุลต่างๆ ได้มาแล้วต้องพินทุ อธิษฐานให้มันสะอาดบริสุทธิ์ ถ้าภิกษุไม่ได้พินทุอธิษฐาน เอาไปใช้เป็นอาบัติปาจิตตีย์เลย ภิกษุจะใช้ผ้าของคนอื่นไม่ได้ บริขาร ๘ ต้องเป็นของส่วนบุคคล เป็นของบุคคลคนนั้น.. นี่พระมีสมบัติแค่นี้

แต่สมบัติที่เป็นคุณงามความดีล่ะ? พระมีศีลมีธรรมเป็นสมบัติ ถ้ามีสมบัติขึ้นมา เห็นไหม มันจะมั่นคงของมัน ถ้ามันมั่นคงของมันนี่ธรรมาธิปไตย สะอาดบริสุทธิ์ พระภิกษุมีบริขาร ๘ สิ่งที่ได้มาเป็นของกลาง เป็นของส่วนรวม เป็นของสงฆ์ นี่วัดวาอาราม กุฏิ กุตัง เป็นของส่วนรวมหมด นี่ไงพระไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติ แต่ถ้าพระมีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสมบัติ นี่ไงธรรมาธิปไตย มันเสมอภาคจากภายนอก เสมอภาคจากภายใน

แต่! แต่ในเมื่อสังคมใช่ไหม ในเมื่อสังฆะ สังคมก็เคารพกันด้วยธรรมวินัย เห็นไหม อาวุโส ภันเต ถ้าอาวุโสบวชก่อน มีวุฒิภาวะเป็นผู้นำ เป็นผู้ชี้นำ นี่เคารพกันโดยธรรม แต่ความเสมอภาค ศีล ๒๒๗ เหมือนกัน เท่ากัน ทุกอย่างมีสิทธิเท่ากัน เท่ากันทั้งนั้น แต่เขาเคารพคุณธรรมกัน เขาเคารพคุณธรรมในหัวใจอันนั้น

ฉะนั้น เราเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นปู่ ย่า ตา ยาย เราต้องฝึกใจของเรา แล้วเราจะได้สอนลูกสอนหลานเรา ทำเป็นตัวอย่างได้ “หนึ่งตัวอย่างดีกว่าร้อยคำสั่ง” สอนเขาทำทุกอย่างเลย แต่ตัวเองทำอีกอย่างหนึ่ง เขาก็ไม่มีความเชื่อถือ.. นี่บารมี! บารมีเกิดจากการสะสมนะ คนไม่มีบารมี เห็นไหม อยู่มีแต่ความแห้งแล้ง คนมีบารมี แล้วบารมีเกิดจากไหนล่ะ? นี้บารมีนะ

แต่ถ้ามีบารมีในหัวใจ นั่งสมาธิก็สมาธิสงบดี ใช้ปัญญา ปัญญาก็แยกแยะออกไป ถ้าคนมีอำนาจวาสนาบารมี มันจะมีปัญญาของมัน มันจะเคลื่อนการกระทำของมัน แต่ถ้าคนไม่มีบารมีนะ นั่งสมาธิก็ปวดโอดโอย ทำสมาธิก็ทำไม่ได้ แล้วทำไมต้องทำสมาธิ ทำไมใช้ปัญญาไม่ได้เลยหรือ อ้าว.. ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ก็ใช้ปัญญาเลย

ปัญญาอย่างนี้คือปัญญาอนุบาลไง ปัญญาเด็กๆ เด็กถ้ามันเขียนหนังสือไม่เป็น มันผสมไม่เป็น มันก็อ่านหนังสือไม่ได้ เด็กมันเขียนหนังสือเป็น มันอ่านหนังสือเป็น มันก็อ่านหนังสือได้ แต่อ่านหนังสือได้ แล้วมันจะเข้าใจเรื่องตัวของมันเองหรือยังล่ะ?

นี่ก็เหมือนกัน ความคิด! ความคิดที่เกิดขึ้นมา นี่ใช้ปัญญาๆ ไม่ต้องทำสมาธิแล้วใช้ปัญญาไปเลยได้ไหม? ปัญญาอย่างนี้เป็นโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากจิต ปัญญาเกิดจากสามัญสำนึก เกิดจากสามัญสำนึกก็เข้าข้างตัวเองใช่ไหม โอ้โฮ.. ว่างๆ นิพพานตั้งแต่ยังไม่ปฏิบัติเลย นิพพานมันมีอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว พอเข้าไปถึงนิพพาน มันก็เป็นนิพพานไปเลยล่ะ

อู๋ย.. มันจินตนาการไปนะ ธรรมะอยู่ในหัวใจเต็มไปหมดเลย พอเผลอ เดี๋ยวทุกข์มันก็กระทืบเอาอีกแล้ว เห็นไหม แต่ถ้าทำความสงบของใจก่อน ก่อนจะทำความสงบของใจมันก็เหมือนเด็กอนุบาล หัดอ่านหัดเขียน พอหัดอ่านหัดเขียนขึ้นมาแล้วมันมีสุตมยปัญญา มีแผนที่เครื่องดำเนิน แล้วปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นไป ถ้าจิตมันสงบเข้ามา เวลามันเกิดปัญญานะ เอ๊อะ!

ภาวนามยปัญญาไม่ใช่เกิดปัญญาจากสมอง ไม่ใช่เกิดปัญญาจากจินตนาการ จินตนาการคือการเป้าหมายว่าเราต้องการมรรคผล แต่เวลามรรคผลมันจะเกิดขึ้นมา นี่มันเกิดจากอริยสัจ เกิดจากสัจจะความจริง เกิดจากมรรคญาณ เกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาที่เป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่การถอดถอนกิเลส คนเข้าไปเจอมาแล้วจะศรัทธาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก

มันไม่มีหรอก มันไม่มีอยู่ในโลกนี้ แล้วเอามายืนยันกันไม่ได้ เว้นไว้แต่ผู้รู้กับผู้รู้เท่านั้น ถ้าใครไม่เคยเกิดภาวนามยปัญญา มันก็ขี้โม้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าใครไม่เกิดภาวนามยปัญญานะ มันโม้ออกมา ไอ้คนเป็นมันสอยหน้าเอาหงายท้องเลยนะ.. ถ้ามันเป็นภาวนามยปัญญา ไอ้คนเป็นกับคนเป็นมันจะพูดเหมือนกัน ไอ้คนไม่เป็นพูดเท่าไหร่ก็ผิดเท่านั้นแหละ คนไม่เป็น พูดร้อยครั้งก็ผิดร้อยครั้ง คนเป็นพูดแสนครั้ง ก็ถูกแสนครั้ง นี่คือธรรมะ!

ธรรมาธิปไตย เราแสวงหากัน เราแสวงหากันด้วยไม่ใช่กดขี่เหยียดหยามกัน เราแสวงหาด้วยการกดขี่กิเลสของเรา มันเป็นเรื่องส่วนตน มันเป็นเรื่องหัวใจของเรา มันเป็นการควบคุมใจของเรา เป็นการเอาชนะใจของเรา ธรรมาธิปไตย ธรรมจะเกิดจากหัวใจของเรา ถึงไม่ใช่เป็นการสูงต่ำจากภายนอก มันเป็นหัวใจของใครหัวใจของมัน มันเป็นพันธุกรรม มันเป็นบาปกรรมของใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นหยาบ ก็ต้องใช้หยาบๆ ถ้าใจดวงนั้นละเอียด ก็ต้องใช้อย่างละเอียดเข้าไป

มันเป็นสิทธิเสรีภาพ มันเป็นความจริงในใจของเรา เราต้องมั่นคงแข็งแรงของเรา เพื่อธรรมาธิปไตยให้เกิดในใจของเรา เอวัง